ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 1 ม.ค. 68
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 1 มกราคม 2568 ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ผู้นำสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ประจำปี พ.ศ. 2568 ในหัวข้อ “เสริมสร้างศักยภาพของชาติด้วยประชาธิปไตย ก้าวสู่ยุคใหม่ของโลก” โดยปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า ในปัจจุบัน ไต้หวันได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากประชาคมโลก ทั้งในด้านประชาธิปไตย เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ โดยในปีใหม่นี้ ไต้หวันจะผนึกกำลังสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว มุ่งสู่ทิศทางที่ถูกต้อง โดยปธน.ไล่ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นทุกฝ่ายมุ่งมั่นสามัคคีอย่างไม่แบ่งแยกฝักฝ่าย และไม่แบ่งว่าเป็นหน่วยงานส่วนกลางหรือส่วนท้องถิ่น รวมถึงทุกพรรคการเมือง เพื่อให้ไต้หวันสามารถก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นในอนาคต
สำหรับทิศทางการพัฒนาในปี พ.ศ. 2568 ปธน.ไล่ฯ ย้ำว่า พวกเราจะยืนหยัดบนเส้นทางแห่งประชาธิปไตยอย่างแน่วแน่ มุ่งเสริมสร้างศักยภาพของชาติ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความทรหดด้านเศรษฐกิจของไต้หวัน ตลอดจนสร้างความยืดหยุ่นของระบบห่วงโซ่อุปทานด้านประชาธิปไตยในระดับโลก ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาให้ไต้หวันเกิดความสมดุล และบรรลุความยุติธรรมในทุกยุคสมัย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้รับประโยชน์ร่วมกันจากผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
สาระสำคัญของสุนทรพจน์ มีดังนี้ :
ย้อนมองปี พ.ศ. 2567 “Team Taiwan” ต้องเผชิญกับทั้งความท้าทายและเกียรติยศ พวกเราต้องประสบกับภัยแผ่นดินไหวและวายุภัย อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับความท้าทายที่มาจากลัทธิอำนาจนิยมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มีทุกข์ย่อมต้องมีสุข พวกเรามีโอกาสได้ร่วมชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของไต้หวันบนเวทีโลกนานาชาติ จากการคว้าแชมป์โลกในการแข่งขัน WBSC Premier 12 มาครองได้สำเร็จ ซึ่งในปัจจุบัน ชาวไต้หวันที่อาศัยอยู่ทั่วทุกมุมโลก ต่างก็ทราบดีถึงสัญญลักษณ์มือที่สื่อถึงความหมายว่า “Team Taiwan”
ในระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปารีส หวังฉีหลินและหลี่หยาง สามารถคว้าเหรียญทองในการแข่งขันแบดมินตัน ประเภทชายคู่มาครองได้อย่างสำเร็จ หลินอวี้ถิง นักชกหญิงชาวไต้หวัน ก็สามารถคว้าเหรียญทองแรกเป็นประวัติศาสตร์ ของวงการมวยสากลสมัครเล่นหญิงของไต้หวันมาครองได้สำเร็จเช่นกัน นอกจากนี้ คณะนักเรียนตัวแทนไต้หวันที่ไปเข้าร่วม “การแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งที่ 20” ก็สามารถคว้า 6 เหรียญทองมาครองได้สำเร็จ อีกทั้งผลงาน “Taiwan Travelogue” ของหยางซวงจื่อ และจินหลิง นักเขียนชื่อดัง ผู้แปลผลงานวรรณกรรมเป็นภาษาอังกฤษ ก็ได้รับการันตีด้วย “รางวัลหนังสือแห่งชาติ” (National Book Award) จากสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านวรรณกรรมของไต้หวันในระดับสากล
สำหรับทิศทางการพัฒนาในปี 2568 มี 70 กว่าประเทศทั่วโลกที่จัดการเลือกตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่าการเมืองของนานาประเทศทั่วโลก ต่างกำลังก้าวสู่บริบทใหม่ ยิ่งสถานการณ์ระหว่างประเทศมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเพียงใด ไต้หวันก็ยิ่งต้องก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพ
ประการแรก เราจะก้าวเดินบนเส้นทางแห่งประชาธิปไตยอย่างมั่นคง
ไต้หวันก้าวผ่านยุคสมัยในระบอบเผด็จการที่มืดมน มาจนถึงวันนี้ ที่ก้าวสู่การเป็นประภาคารสำคัญด้านประชาธิปไตยในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากความมุ่งมั่นร่วมกันของประชาชนทั่วไต้หวัน และการเสียสละของเหล่าบรรพชนที่ยึดมั่นบนเส้นทางแห่งประชาธิปไตย สำหรับประชาชนชาวไต้หวันแล้ว ประชาธิปไตยไม่เพียงแต่เป็นวิถีชีวิตที่เปี่ยมด้วยเสรีภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองทางพหุสังคม และยังเป็นสิ่งที่ทำให้ไต้หวันได้รับการยอมรับในด้านการต่างประเทศในระดับสากลอีกด้วย
ไม่ว่าไต้หวันจะประสบกับภัยคุกคามและความท้าทายในรูปแบบใด ประชาธิปไตยเป็นเพียงหนทางเดียวที่ทำให้พวกเราจะมุ่งมั่นก้าวเดินต่อไป โดยไม่มีวันหันหลังย้อนกลับ
การแข่งขันทางการเมืองภายในประเทศ ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการเมืองรูปแบบประชาธิปไตย หากแต่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ จำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตของรัฐธรรมนูญ การยึดมั่นตามหลักประชาธิปไตย จึงจะสามารถส่งเสริมให้ประชาธิปไตยดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับร่างกฎหมายที่มีข้อถกเถียงซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติ สภาบริหารมีอำนาจในการยื่นเรื่องขอทบทวน เพื่อให้สภานิติบัญญัติพิจารณาใหม่อีกครั้ง ประชาชนมีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ถอดถอน เสนอกฎหมาย และลงประชามติ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือประชาชน
ปีใหม่นี้ สถานการณ์ระหว่างประเทศมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ถือเป็นความท้าทายที่รุนแรงสำหรับกลุ่มประเทศประชาธิปไตย ตราบจนปัจจุบัน สงครามรัสเซีย - ยูเครนยังคงยืดเยื้อ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล - ฮามาส ก็ยังไม่สิ้นสุด ส่วนจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือและอิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศในระบอบเผด็จการ ได้มีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎกติกาสากล ตลอดจนส่งผลกระทบรุนแรงต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิกและทั่วโลก
โดยเฉพาะสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญของความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองระดับโลก ไต้หวันจำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบที่รุนแรงตลอดเวลา พร้อมจัดสรรงบประมาณทางกลาโหมเพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางกลาโหมให้มีความแข็งแกร่ง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการปกป้องประเทศชาติ
ทุกคนล้วนแต่มีความรับผิดชอบในการปกป้องประชาธิปไตยและความมั่นคง พวกเราจำเป็นต้องผนึกกำลังในการยกระดับความยืดหยุ่นในการปกป้องภาคประชาสังคม จัดตั้งกลไกการรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่และภัยคุกคาม ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างกลไกการเจรจาในภาคประชาสังคม เพื่อสกัดกั้นสงครามข้อมูลและสงครามจิตวิทยา พร้อมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนปฏิเสธการถูกครอบงำโดยผลประโยชน์ ตลอดจนร่วมสกัดกั้นการแทรกแซงและอิทธิพลที่ไม่ประสงค์ดีจากภายนอก
ประการที่สอง เราต้องมุ่งเสริมสร้างแสนยานุภาพของชาติอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างความทรหดทางเศรษฐกิจของไต้หวัน ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบห่วงโซ่อุปทานด้านประชาธิปไตยระดับโลก
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ตลาดหุ้นไต้หวันมีแนวโน้มการเติบโตที่ครองอันดับ 1 ของโลก อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกตลอดทั้งปี คาดว่าจะมีการขยายตัว 4.2% สูงเป็นอันดับ 1 ในบรรดาสี่เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย ประกอบกับการลงทุนในประเทศที่มีความคึกคัก มีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านล้านเหรียญไต้หวัน อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อก็ชะลอตัวลง กลับสู่มาตรฐานเดิม นอกจากนี้ ระหว่างเดือนมกราคม – พฤศจิกายน คำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ไต้หวันได้รับ มีมูลค่าสูงถึง 536,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 นอกจากนี้ มูลค่าการส่งออกในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – พฤศจิกายน ก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 มาอยู่ที่ระดับ 431,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วย
แม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะมีอัตราการขยายตัวที่เด่นชัด อย่างไรก็ตาม พวกเรายังคงต้องเฝ้าจับตาต่อปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจัยความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลก และห่วงโซ่การผลิตของจีนที่ใช้วิธีการทุ่มตลาดด้วยราคาถูก ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไต้หวันเป็นอย่างมาก
สำหรับไต้หวันแล้ว อุตสาหกรรมทุกแขนงล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ผู้ประกอบการรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ถือเป็นแกนหลักสำคัญทางเศรษฐกิจของไต้หวัน การพัฒนาอุตสาหกรรมในทุกพื้นที่ ล้วนแต่เป็นการสร้างพลังขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ไต้หวัน พวกเราต้องทำให้จิตวิญญาณของ “Made in Taiwan” มีความเจิดจรัสบนเวทีโลกมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและธุรกิจ SMEs ด้วยแนวทางการให้ความช่วยเหลือที่เสนอโดยสภาบริหาร โดยนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เพื่อบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ควบคู่ไปกับการแสวงหาแนวทางการพัฒนา เพื่อยกระดับกลไกการบริหารและเพิ่มศักยภาพในการผลิต
ขณะเดียวกัน ไต้หวันก็จะร่วมผลักดันเศรษฐกิจไปพร้อมกับประชาคมโลก ผ่านรูปแบบประชาธิปไตย โดยพวกเราจะใช้ข้อได้เปรียบทางอุตสาหกรรม AI และเซมิคอนดักเตอร์ มาสร้างความเชื่อมโยงระหว่างพันธมิตรด้านประชาธิปไตย เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นในระบบห่วงโซ่ประชาธิปไตยในเชิงลึก ควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือกับนานาชาติในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในด้านอากาศยานไร้คนขับ ดาวเทียมวงโคจรต่ำ หุ่นยนต์ การแพทย์ชีวภาพ เทคโนโลยีพลังงานสีเขียว การเกษตรยุคใหม่ และเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีแนวหน้าระดับชั้นนำ ส่งเสริมการพัฒนาในหลากหลายมิติ เพื่อส่งเสริมให้ไต้หวันนำพาให้ระบบห่วงโซ่อุปทานแห่งประชาธิปไตยพัฒนาไปข้างหน้า ควบคู่ไปกับการสร้างหลักประกันความมั่นคงและเสถียรภาพในระบบห่วงโซ่ด้านประชาธิปไตยของโลก
ประการที่สาม เราต้องพัฒนาไต้หวันให้เกิดความสมดุล มุ่งบรรลุความยุติธรรมในทุกยุคสมัย เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้รับประโยชน์ร่วมกันจากผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ในปีใหม่นี้ เราจะเดินหน้าผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อชาติและประชาชนต่อไป อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกลางจำเป็นต้องมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอสำหรับดำเนินมาตรการต่าง ๆ ดังนั้น จึงคาดหวังว่าการแก้ไข จึงหวังว่าการแก้ไข “กฎหมายการจัดสรรรายรับและรายจ่ายของรัฐบาล” จะได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทุกพรรคการเมือง โดยหวังว่าทุกฝ่ายจะไตร่ตรองด้วยความรอบคอบเพื่อแสวงหาหนทางที่ยั่งยืนและมั่นคงสำหรับประเทศชาติ
ในปีนี้ เกณฑ์การแจกจ่าย “คูปองวัฒนธรรม” ได้ถูกปรับลดจากอายุ 16 ปี มาสู่ 13 ปี โดยกลุ่มเยาวชนช่วงวัย 13 – 22 ปี สามารถรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เพื่อสัมผัสประสบการณ์ทางศิลปวัฒนธรรมในไต้หวัน ส่วน “โครงการกองทุนสานฝันเยาวชนในต่างแดนมูลค่าหมื่นล้านเหรียญ” ก็จะมีผลบังคับใช้ในปีนี้ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนสานฝันให้เป็นจริง พร้อมทั้งสามารถเดินทางไปเรียนรู้และแลกเปลี่ยนกับนานาประเทศทั่วโลกได้อย่างไร้กังวล
นอกจากนี้ พวกเรายังมีแผนการจะจัดตั้ง “กระทรวงการกีฬา” เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนสานฝันบนเส้นทางความเชี่ยวชาญของตนเอง อีกทั้งยังเป็นการมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมการกีฬาอย่างกระตือรือร้น ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนไปพร้อมกัน
ปีนี้ไต้หวันเตรียมก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ พวกเราจึงมุ่งผลักดันกลไกการดูแลผู้สูงวัย เวอร์ชัน 3.0 เพื่อให้การดูแลกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม อีกทั้งยังขยายขอบเขตกลุ่มเป้าหมายและการบริการการตรวจคัดกรองเซลล์มะเร็ง เพื่อสรรสร้าง “ไต้หวันสุขภาพดี” ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
นับแต่นี้เป็นต้นไป ไต้หวันจะบังคับใช้ระบบภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) อย่างเป็นทางการ เพื่อเชื่อมโยงสู่โลกนานาชาติ และบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593 นอกจากนี้ พวกเรายังจะก้าวไปสู่ “การพัฒนาไต้หวันอย่างสมดุล” โดยในเดือนที่แล้ว สภาบริหารได้เริ่มดำเนินการตาม “แผนพัฒนาชาติด้วยการลงทุนมูลค่าล้านล้านเหรียญ” และนำเสนอ “โครงการพัฒนาใน 6 เขตพื้นที่หลัก” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายการลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน พัฒนาอุตสาหกรรมที่เอกลักษณ์เฉพาะในแต่ละพื้นที่ รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
Source : 02/01/2025 Taiwan Today
สุนทรพจน์ของปธน.ไล่ชิงเต๋อ เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2568 (ภาพจากทำเนียบประธานาธิบดี)